เมื่อต้องเลือกเมล็ดกาแฟสักตัว เคยสงสัยไหม? ว่าสายพันธุ์ (Variety/Varietal) ที่ระบุไว้นั้น สร้างความแตกต่างอย่างไร มาหาคำตอบกัน
☕️ Robusta (โรบัสต้า) คอกาแฟที่ชอบรสขม ๆ ต้องไม่พลาดกาแฟสายพันธุ์นี้ จุดเด่นของโรบัสต้าจะไม่ใช่กลิ่น เพราะกลิ่นจะไม่หอมมาก สู้อะราบีกาไม่ได้ แต่บอดี้จะเข้ม รสขม คาเฟอีนสูง ส่วนมากจะนำไปทำกาแฟสำเร็จรูป หรือเอาไปเบลนด์กับชนิดอื่นเพื่อได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ สภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับโรบัสต้าคืออากาศร้อนชื้นแบบภาคใต้บ้านเรานั่นเอง
☕️ Arabica (อาราบิก้า) คอกาแฟทุกคนต้องรู้จักสายพันธุ์นี้แน่นอน เพราะมีรสชาติที่กลมกล่อมละมุนปากที่สุด ดังนั้นจึงได้รับความนิยมสูงสุดในร้านกาแฟสดทั่วโลก จุดเด่นของอะราบีกาคือหอมกลิ่นช็อกโกแลต และดอกไม้ รสนุ่มละมุน ดื่มง่าย มีปริมาณคาเฟอีนต่ำ เป็นกาแฟที่เหมาะกับอากาศเย็น 15 – 25 องศาเซลเซียส จึงเหมาะที่จะปลูกในที่ภูมิประเทศสูงกว่า 1,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล ถ้าในบ้านเราก็ที่เชียงใหม่นั่นเอง
☕️ Gesha / Geisha (เกชาหรือเกอิชา) สายพันธุ์ย่อยของ Arabica ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการและน่าจับตามอง เนื่องจากได้รับรางวัลในเวทีระดับโลก มีกลิ่นหอมหวานของดอกไม้และผลไม้ อีกทั้งยังให้รสสัมผัสที่นุ่มนวล
☕️ Typica (ทิปปิก้า) อีกหนึ่งสายพันธุ์ย่อยของ Arabica ที่ถูกกล่าวถึงบ่อยและมีประวัติยาวนาน แม้จะปลูกยากแต่ก็มีคุณภาพสูง สายพันธ์ุย่อยอื่น ๆ อีกมากมายก็มีต้นกำเนิดและกลายพันธุ์มาจากเจ้า Typica นั่นเอง
☕️ Catimor (คาร์ติมอร์) นิยมปลูกในภาคเหนือของประเทศไทย เป็น Hybrid ลูกผสมที่มี DNA มาจากทั้งฝั่ง Arabica และ Robusta บางครั้งจึงถูกด้อยค่าในด้านรสชาติ แต่วงการ Specialty Coffee (กาแฟชนิดพิเศษ) ของไทยได้นำมาพัฒนากระบวนการผลิต จนมาช่วงหลังนี้ที่เมล็ดบางรุ่นมีคุณภาพเทียบเท่า Arabica ดี ๆ เลยทีเดียว
ปัจจุบันสายพันธุ์กาแฟไม่ได้หยุดแค่นี้แล้วนะ ยังมีอีกเป็นร้อยสายพันธ์ุให้ได้ศึกษา และเมล็ดกาแฟถูกพัฒนาให้มีความหลากหลายมากขึ้น! รวมถึงการเบลนด์กาแฟของบาริสต้าแต่ละร้านอีกด้วย ซึ่งถ้าเรารู้รสชาติพื้นฐานแล้ว กาแฟแก้วต่อ ๆ ไปที่เราไม่เคยรู้จัก เมื่อเราได้ดื่ม เราจะสนุกกับการคาดเดารสชาติและกลิ่นที่แฝงมาในแต่ละแก้ว
โดยข้อมูลฉบับย่อที่นำมาฝากกันวันนี้ถือว่าเป็นข้อมูลพื้นฐานที่คนรักกาแฟ หรือใครที่เพิ่งเข้าสู่วงการกาแฟควรรู้ไว้ เพราะจะเป็นการต่อยอดรสชาติในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟครั้งต่อไป